sponsor link

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Ferrari 599 GTB Fiorano ที่สุดของรถสปอร์ต จีที ที่สามารถสัมผัสได้


ที่สุดแห่งการรอคอยก็มาถึง สำหรับเศรษฐีบางคนที่ใฝ่ฝันที่จะได้จับจองเป็นเจ้าของ Ferrari 599 GTB Fiorano รถสปอร์ตจีทีรุ่นล่าสุด และแรงที่สุดเท่าที่เฟอร์รารี่เคยทำออกจำหน่ายทั่วไป (ยกเว้น F40 ที่เป็นการผลิตในจำนวนจำกัด)

สำหรับเศรษฐีที่ใฝ่ฝันจะได้สัมผัสความแรงในระดับเดียวกับรถแข่งฟอร์มูล่า 1 ด้วยสนนราคาที่เคาะออกมาแล้วไม่ถึง 200,000 ยูโร ถ้าเป็นบ้านเรารับรองได้เห็นเศรษฐีแย่งกันซื้อแน่ ๆ เพราะแตกเป็นเงินบาทแล้ว ยังไม่ถึง 10 ล้านบาท และเป็นเฟอร์รารี่อีกรุ่นหนึ่งที่มุ่งเจาะจงกลุ่มลูกค้าที่มีเงิน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักแข่งรถหรือมีทักษะในการขับรถแข่งแต่อย่างใด ดังนั้นถึงแม้จะเป็นรถแรง แต่ก็เน้นการขับขี่ง่าย และมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายมากกว่าจะเน้นด้านสมรรถนะเพียงอย่างเดียว




Ferrari 599 GTB Fiorano ถือเป็นสุดยอดของความแรง ด้วยเทคโนโลยีที่หยิบยกมาจากรถแข่งฟอร์มูล่า 1 หลายอย่าง นับตั้งแต่เครื่องยนต์ V12 สูบ ขนาด 5.99 ลิตร แรงม้าที่ 620 ตัว ที่ 7,600 rpm กับแรงบิด 608 Nm ที่ 5,600 rpm เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว 1,580 กิโลกรัม เท่ากับว่าม้าแต่ละตัวออกแรงแบกน้ำหนักเพียง 2.6 กิโลกรัมเท่านั้น พร้อมระบบส่งกำลังเกียร์แมนวลในระบบเดียวกับรถ F1 รวมไปถึงระบบช่วงล่าง F1-Trac ที่สามารถควบคุมการยึดเกาะถนนระหว่างการขับขี่ได้ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในแบบธรรมดาและอัตโนมัติ ซึ่งให้สมรรถนะที่จัดจ้านเทียบเท่ารถแข่งฟอร์มูล่า 1 อย่างเช่น อัตราเร่งระดับ 0-100 ในเวลาเพียง 3.7 วินาที ผ่านความเร็วระดับ 200 กม./ชม.ในเวลาเพียง 11 วินาที หรือท็อปสปีดทำได้ถึง 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

Ferrari 599 GTB Fiorano ถูกพัฒนาเพื่อเข้ามาประจำการแทน 575 M Maranello ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 1996 และมียอดการผลิตรวมประมาณ 5,700 คัน ในรูปแบบของรถสปอร์ตคูเป้ - Grand Tourismo Belinetta (Belinetta -ในภาษาอิตาเลียนหมายถึงรถแบบคูเป้) วางเครื่องยนต์ V12 สูบ ไว้ตอนหน้ารถในลักษณะ Front Midship คือน้ำหนักเครื่องยนต์จะตกอยู่หลังล้อหน้าค่อนข้างมาก เมื่อเฉลี่ยน้ำหนักกับระบบขับเคลื่อนที่ล้อหลังแล้ว จะมีการกระจายน้ำหนักของตัวรถระหว่างล้อหน้า-หลัง เท่ากับ 47-53%

Ferrari 599 GTB Fiorano ได้รับการออกแบบโดย Pininfarina สำนักออกแบบเจ้าประจำของเฟอร์รารี่ รูปทรงภายนอกของตัวรถมาในรูปแบบสปอร์ต 2 ประตู 2 ที่นั่ง มีเส้นสันที่ลื่นไหลโค้งเว้าไปตามอิทธิพลของอากาศพลศาสตร์ ทำให้มีเค้าโครงแปลกตาไปกว่า 365GTB ในยุคทศวรรษที่ 70 ที่ได้ชื่อว่าเป็นรถสปอร์ตคูเป้สวยที่สุดรุ่นหนึ่งของเฟอร์รารี่ และบุคลิกโดยรวมดูดี สปอร์ตมากกว่า 612 Scaglietti ซึ่งเป็นสปอร์ตคูเป้ 2+2 ที่นั่ง บนโครงสร้างอะลูมิเนียมอัลลอย เพื่อควบคุมไม่ให้น้ำหนักตัวมากเกินไป แถมด้วยการเจาะช่องระบายอากาศไว้บนส่วนต่าง ๆ ของตัวถังหลายจุด เช่น บนฝากระโปรงหน้า และแก้มด้านข้าง เพื่อการระบายความร้อนที่ดีให้กับเครื่องยนต์



ด้านหน้าของตัวรถยังคงดูเด่นด้วยเอกลักษณ์ของเฟอร์รารี่รุ่นพี่ ๆ ด้วยช่องรับลมขนาดใหญ่ เหนือขึ้นไปตรงมุมเป็นไฟแบบรวมทั้งสองมุม ซึ่งมีทั้งไฟส่องสว่างใช้หลอดซีนอน และไฟสัญญาณต่าง ๆ รวมเอาไว้ที่เดียวกัน เหนือฝากระโปรงขึ้นไป เจาะช่องระบายลมออก 2 ช่อง ส่วนด้านข้างนั้น โดดเด่นด้วยล้อขนาดน่าเกรงขาม 19 นิ้ว ที่ล้อหน้า และ 20 นิ้วที่ล้อหลัง พร้อมยางแบบ Run-flat-tyre และด้านท้ายนั้นยังคงเป็นเอกลักษณ์ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเฟอร์รารี่ ด้วยไฟท้ายแบบกลมที่แบ่งสัดส่วนเพื่อทำหน้าที่ต่างกัน เช่น ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และใช้หลอด LED ตามสมัยนิยม และมุมตัดที่เอียงเล็กน้อยยังมีเค้าเดิมที่มาจาก 365GTB กับท่อไอเสียโผล่ปลาย 4 ท่อเอาไว้ส่วนล่างด้านท้ายรถ

ระหว่างการพัฒนาตัวถังของ Fiorano ได้มีการทดสอบประสิทธิภาพรูปทรงของตัวรถที่มีผลต่อการทรงตัว และการต้านอากาศของตัวรถอย่างเข้มงวด แม้กระทั่งในส่วนของใต้ท้องรถ ดังนั้นทุกส่วนที่เป็นส่วนประกอบปลีกย่อยรอบคัน ล้วนมีส่วนสำคัญต่อสมรรถนะในการทรงตัวขณะใช้ความเร็วสูงทิ้งสิ้น แม้กระทั่งปีกรับลมข้าง ๆ เสาเก๋งหลัง ก็ยังมีส่วนช่วยลดกระแสลมในตอนท้ายรถเป็นอย่างดี แม้รูปทรงของตัวรถเพียว ๆ จะไม่มีชิ้นส่วนประเภทที่เป็นสปอยเลอร์ต่าง ๆ ให้เห็น แต่ด้วยรูปทรงที่ออกแบบมาอย่างดีในอุโมงค์ลม จะสามารถเพิ่มแรงกดในยามที่ใช้ความเร็วสูง ๆ ได้มากถึง 160 กิโลกรัม ที่ความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และขึ้นไปถึง 190 กิโลกรัม เมื่อใช้ความเร็วสูงสุด และตัวเลขค่า Cd ของ Fiorano จึงมีเพียง 0.336 จึงไม่น่าแปลกที่ตัวเลขที่เป็นอัตราเร่งในระดับต่าง ๆ ของ Fiorano จึงดีพอ ๆ กับ F40

มิติของตัวถัง ความยาว-ความกว้าง-ความสูงเท่ากับ 4,666-1,961-1,336 มม.บนฐานล้อ 2,750 กับช่วงห่างของล้อคู่หน้าและคู่หลัง 1,689-1,618 มม.ตามลำดับ กับน้ำหนักตัว 1,580 กิโลกรัม ขนาดกำลังพอดี ๆ แต่ก็ยังมีแฟนพันธุ์แท้ของค่ายม้าผยองจากอิตาลี ไม่วายจะค่อนแคะว่า ยังสวยคลาสสิกไม่เท่ากับ F40


ภายใต้ฝากระโปรงหน้า วางเครื่องยนต์ V12 DOHC 4 วาล์วต่อสูบ อันทรงพลังแบบ F133F ความจุกระบอกสูบรวม 5,998 ซี.ซี. ผลิตแรงม้าได้ถึง 620 แรงม้า ที่ 7,600 รอบต่อนาที โดยไม่ต้องใช้ระบบอัดอากาศใด ๆ เข้ามาช่วย ทำให้มีอัตราส่วนของการผลิตแรงม้าต่อความจุเครื่องยนต์อยู่ที่ 103 แรงม้าต่อลิตร แถมยังเป็นเครื่องยนต์ "รอบจัด" อีกเครื่องหนึ่งของเฟอร์รารี่ ซึ่งสามารถลากรอบเครื่องยนต์ไปจนถึงขีดแดงที่ 8,400 rpm นั่นหมายถึงว่า นอกจาก Fiorano จะให้ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่จัดจ้านแบบหาตัวจับยากแล้ว ยังให้ "บรรยากาศ" ในการขับขี่ด้วยเสียงกระหึ่มที่หนักแน่น บวกกับเสียงก้องหวาน ๆ ตอนเร่งเครื่องยนต์ 12 สูบรอบจัด ราวกับรถแข่ง F1 ครบสูตรอีกด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เฟอร์รารี่ยังคุยต่อว่า ถึงแม้ Fiorano จะรอบจัดและแรงจัดจ้านขนาดนี้ แต่อัตราความสิ้นเปลืองกลับลดน้อยกว่ารุ่นก่อน ๆ เมื่อเทียบกับกำลังม้าด้วยกัน อันเป็นผลมาจากระบบจัดการควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นนั่นเอง แต่เศรษฐีที่คิดจะซื้อรถสปอร์ตระดับ 600 กว่าแรงม้ามาขับ คงไม่มีใครยี่หระต่อราคาน้ำมันลิตรละ 1.5 ยูโร หรือ 70 กว่าบาทกันแล้วล่ะ
ทีเด็ดต่อไปของ Fiorano คือเกียร์บ็อกซ์ชุดใหม่เป็นเกียร์ระบบแมนวล 6 สปีดแบบ Sequential ที่ใช้วิธีเปลี่ยนเกียร์ไปทีละสเต็ป ๆ นับเป็นครั้งแรกที่มีการหยิบยืมระบบนี้มาจากรถแข่ง F1 ที่เรียกว่า F1-Super Fast และใช้ระบบควบคุมการทำงานของเกียร์บนแป้นพวงมาลัยที่เรียกว่า Manettino ที่เคยมีใช้ครั้งแรกในรถแข่ง F1 มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว พอมาคราวนี้เฟอร์รารี่ได้ปรับปรุงระบบ Manettino เสียใหม่ เพื่อการทำงานที่สมบูรณ์และตอบสนองการใช้งานได้รวดเร็ว ซึ่งเฟอร์รารี่คุยนักคุยหนาว่า นอกจากจะให้ฟีลลิ่งในการเปลี่ยนเกียร์ทำได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับรถแข่งแล้ว ยังตอบสนองการเร่งออกตัวได้เร็วไม่แพ้กัน และสามารถควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ได้ทั้งในโหมดธรรมดาหรืออัตโนมัติ เช่นเดียวกับระบบควบคุมการถ่ายทอดแรงบิดจากเครื่องยนต์ลงสู่พื้นถนนที่เฟืองท้ายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า Active Differential





ระบบช่วงล่างเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เฟอร์รารี่เหนือชั้นกว่าชาวบ้านทั้งบนถนนและในสนามแข่ง Fiorano ใช้ระบบกันสะเทือนที่เรียกว่า F1-Trac นั่นคือการหยิบยืมชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนของรถแข่ง F1 มาใช้ ซึ่งให้การตอบสนองการใช้งานในแบบ Adaptive Suspension และอุปกรณ์หลักที่พิเศษและเพิ่งถูกนำมาใช้ก็คือโช้คอัพที่ใช้ Magnetic Fluid ที่เฟอร์รารี่เรียกว่า Magnetoreological Damping Control-SCM โดยสารแม่เหล็กเหลวที่ทำหน้าที่แทนน้ำมันโช้ค ผลิตภัณฑ์ของ Delphi สามารถปรับความข้นใสได้ด้วยการจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไป เมื่อมีการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์มาควบคุม ก็จะทำให้การปรับเปลี่ยนการทำงานของโช้คอัพของแต่ละล้อให้เป็นไปตามสภาวะการใช้งานในขณะนั้น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ด้วยซอฟต์แวร์ข้อมูลการจูนอัพจากสนามแข่งของแชมป์ 7 สมัยของ ไมเคิล ชูมัคเกอร์ ทำให้ระบบกันสะเทือนของ Fiorano สามารถตอบสนองการใช้งานด้วยความเร็วสูงได้ดีชนิดที่ว่า ถ้าใช้ฝีมือดี ๆ ระดับอย่างชูมัคเกอร์มาขับในสนามแข่งแล้ว จะทำเวลาต่อรอบช้ากว่ารถ F1 เพียง 1 วินาทีเท่านั้น

ระบบกันสะเทือนอิเล็กทรอนิกส์ยังรวมไปถึงระบบตรวจสอบแรงดันลม และอุณหภูมิของยางล้อระหว่างการใช้งาน และรายงานผลบนหน้าจอของระบบ Manettino ตลอดเวลาอีกด้วย และนี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่สนับสนุนประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน ที่เฟอร์รารี่ย้ำว่ามีมากกว่าเฟอร์รารี่รุ่นอื่น ๆ ถึง 20%

ดังนั้น ความสำคัญของระบบ Manettino บนแป้นพวงมาลัยของ Fiorano นั้น จึงเป็นจุดรวมของการควบคุมระบบส่งกำลังขับเคลื่อนจากเกียร์ F1-Super Fast ระบบควบคุมการทำงานของช่วงล่าง F1-Trac ที่สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานให้สอดคล้องกับสภาพผิวถนน ไม่ว่าจะเป็นผิวถนนแห้ง หรือเปียกลื่น มีหิมะปกคลุม และผู้ขับขี่ยังสามารถเลือกปรับบุคลิกของระบบควบคุมให้เป็นแบบสบาย ๆ หรือสปอร์ต หรือจะเอาแบบรถแข่ง ฯลฯ ก็มีให้เลือกได้ตามใจชอบ และประการสุดท้าย Manettino ยังมีจอรายงานสิ่งต่าง ๆ และใช้โต้ตอบกับผู้ขับขี่ได้ราวกับที่ปรึกษาชั้นดี




ไม่เพียงแต่บอดี้ภายนอกของ Ferrari 599 GTB Fiorano จะมาในแบบที่สุดเฉี่ยวใคร ๆ ก็ต้องเหลียวมองแล้ว ภายในห้องโดยสารเป็นอีกจุดหนึ่งที่ได้รับการพิถีพิถันเน้นย้ำความสวยงาม ให้ความรู้สึกแบบสปอร์ตและความเป็นไฮเทคด้วยวัสดุที่มีทั้งหนังแท้ที่ตัดเย็บอย่างประณีตด้วยช่างฝีมือดี คอยเก็บทุกรายละเอียด และชิ้นส่วนประกอบหลายชิ้นทำจากอะลูมิเนียม หรือเคฟลาร์ พวงมาลัยทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ผสมผสานกัน นอกจากนี้แล้ว Fiorano ก็ยังมีออปชั่นการตกแต่งให้ลูกค้าได้เลือกสั่งพิเศษได้ตามบุคลิกของใครของมัน ทั้งบุคลิกภายนอก สีสัน วัสดุตกแต่งภายใน และอุปกรณ์ในการเดินทางเป็นต้น

ดังที่เคยกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า Ferrari 599 GTB Fiorano ถูกเน้นการจำหน่ายเพื่อให้บุคคลทั่วไป (ที่มีเงิน) ได้สัมผัสกับความแรง ดังนั้นจึงได้รับการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายเข้ามาเพียบ ราวกับรถนั่งระดับหรูหราทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยปรับระดับด้วยไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศแบบแยกโซนซ้าย-ขวา เซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝนหรือฝุ่นที่กระจกหน้า เครื่องเสียงชั้นดีที่เก็บซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ยิ่งใครเลือกเพิ่มออปชั่นมาก ๆ ก็จะมีทั้งชุดพาร์คเซ็นเซอร์รอบคัน เครื่องเล่นประเภท iPod หรือระบบกันขโมยที่ใช้ระบบสื่อสารกับดาวเทียม เป็นต้น

และอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครคิดถึงกันก็คือ เรื่องของเสียงเครื่องยนต์ และท่อไอเสีย ซึ่งเฟอร์รารี่ย้ำว่า ไม่เพียงแต่ผู้ขับขี่จะได้รับความรู้สึกที่สะดวกสบายในการใช้งานแบบจาก อุปกรณ์นานาชนิดแล้ว เวลาที่ต้องการจะเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อสัมผัสกับความแรงของเครื่องยนต์ ที่พร้อมจะออกฤทธิ์อยู่แล้ว เมื่อกดเท้าขวาลงบนคันเร่ง กับความพิเศษที่จะมาพร้อม ๆ กัน เมื่อกดคันเร่งลงไปก็คือ เสียงอันหนักแน่นของเครื่องยนต์ 12 สูบ ระคนกับเสียงหวาน ๆ จากท่อไอเสีย ที่เฟอร์รารี่บอกว่านี่คือซาวด์แทร็กของรถแข่ง F1 ที่ให้มากับ Ferrari 599 GTB Fiorano คันนี้ด้วย เรียกว่าได้บรรยากาศครบทุกรสในคันเดียวเลย

Ferrari 599 GTB Fiorano ยังคงเป็นรถสปอร์ตคูเป้ในฝันของคนที่ชื่นชอบความเป็นรถสปอร์ตแท้ ๆ สัญชาติอิตาเลียนคันนี้ และถือว่า เป็นผลงานอีกรุ่นหนึ่งที่น่าจับตาดูกันต่อไปว่า ไม่เพียงแต่คุณสมบัติที่เลิศล้ำเหนือกว่าชาวบ้านมากมาย เทียบได้กับรถแข่งฟอร์มูล่า 1 แล้ว ยังจะมีไม้เด็ดอะไรออกมาแสดงอีกหรือไม่ และที่แน่ ๆ น่าจะเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่แฟน ๆ ของเฟอร์รารี่จะต้องซื้อหามาเก็บไว้เป็นคอลเลกชั่นกันอย่างถ้วนหน้า.



ไม่มีความคิดเห็น: